ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บบล็อคด้วยความยินดี ครับ/ค่ะ

สวัสดีผู้ที่เยี่ยมชมบล็อกทุกท่าน บล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อการเรียนการสอนเป็นส่วนหนึ่งของวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีเนื้อหาเกี่ยวกับ

1. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

2.ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

3.การสื่อสารการเรียนการสอน4.คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์

5.ซอฟต์แวร์

6.ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

7.อินเตอร์เน็ต

8.ห้องสมุดรอิเล็กทรอนอกส์และอ้างอิง

9.การประยุค์ใช้ ผู้จัดทำหวังว่าเนื้อหาทั้งหมดจะเป็นประโยช์ต่อผู้ชมทุกท่านค่ะ

คำอธิบายรายวิชา

........ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยี สารสนเทศ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เช่น ไมโครซอฟท์คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ระบบการสื่อสารข้อมูล ระบบเน็ตเวิร์คะบบซอฟท์แวร์ การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ เครื่องมือการเข้าถึงสารสนเทศ ทักษะการเข้าถึงสารสนเทศ ฐานข้อมูลสารสนเทศ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์และการอ้างอิง ฝึกปฏิบัติการ สามารถใช้คอมพวิเตอร์ขั้นพื้นฐานและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้อย่าง เหมาะสมได้

วัตถุประสงค์ในรายวิชา

........เมื่อผู้เรียนศึกษาเนื้อหาบทเรียนจบแล้วตามหลักสูตรแล้วจะมีพฤติกรรมหรือความสามารถดังนี้

1. อธิบายความหมาย ความสำคัญ และองค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศได้

2. อธิบายความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้

3. ยกตัวอย่างเทคโนดลยีสารสนเทศและการสื่อสารในชีวิตจริงได้

4. อธิบายความหมายและความสำคัญของวิธีระบบได้

5. อธิบายความสัมพันธ์ของวิธีระบบกับเทคโนโลยีสารสนเทศได้

6. บอกความหมายและองค์ประสกอบสำคัญๆของคอมพิวเตอร์ได้
7. อธิบายหน้าที่ขององค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ได้

8. บอกประเภทและคุณสมบัติของซอฟท์แวร์แต่ละประเภทได้

9. บอกความหมายและความสำคัญของอินเตอร์เน็ตได้
10. บอกความสัมพันธ์ของเครือขายคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้
11. อธิบายแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายได้

12. อธิบายวิธีประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการศึกษาได้

13. ยกตัวอย่างโปรแกรมต่าง ๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนได้

14. สร้างสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนการสอนได้
15. นำเสนอสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งที่เป็นสื่อทั่วไปและสื่อระบบเครือข่ายได้


เนื้อหาบทเรียน

หน่วยการเรียนที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ

หน่วยการเรียนที่ 2 ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

หน่วยการเรียนที่ 3 คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์

หน่วยการเรียนที่ 4 ซอฟต์แวร์

หน่วยการเรียนที่ 5 ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

หน่วยการเรียนที่ 6 อินเตอร์เน็ต

หน่วยการเรียนที่ 7 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน

หน่วยการเรียนที่ 8 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการนำเสนอผลงาน


รูปแบบของกระบวนการเรียนการสอน


  • วิธีสอน : เป็นการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning)
  • เนื้อหาบทเรียน : เนื้อหาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครู
  • เครื่องมือกำกับการเรียนรู้ : ความซื่อสัตย์(integrity)

กิจกรรมการเรียนการสอน

    • การบรรยายประกอบสื่อในชั้นเรียนปกติ (traditional classroom)
    • การศึกษาค้นคว้าด้วยสื่อออนไลน์หรือเว็บบล็อก
    • การสรุปและนำเสนอในชั้นเรียนด้วยสื่อ ICT
    • การอภิปรายแสดงความคิดเห็น
    • การสรุปเป็นรายงาน
    • การทดสอบเพื่อวัดและประเมินผล

หน่วยที่8

หน่วยที่8ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์เเละการอ้างอิง
1. หลักการนำเสนอผลงาน
        ในหน่วยการเรียนรู้ก่อนๆ  ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานรูปแบบต่าง ๆ   มาบ้างแล้ว การสร้างผลงานที่ดีนั้นต้องอาศัยความรู้   และทักษะตลอดจนความคิด  สร้างสรรค์ แต่ที่สำคัญที่สุด คือ การสะสมประสบการณ์จากการที่ได้พบเห็นตัวอย่าง  และเรียนรู้จากตัวอย่าง
  ในหน่วยการเรียนรู้นี้  จะกล่าวถึงการนำเสนอผลงานโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปที่หาได้ทั่วไป การนำเสนอผลงานมีวัตถุประสงค์  คือ

  1.  ให้ผู้ชมเข้าใจสาระสำคัญของการนำเสนอ
  2.  ให้ผู้ชมเกิดความประทับใจ ซึ่งจะนำไปสู่ความเชื่อถือในผลงานที่นำเสนอ

  การนำเสนอผลงานโดยใช้สื่อโสตทัศนศึกษานั้น  มีเหตุผลเบื้องลึก  คือ  หลักจิตวิทยาการเรียนรู้ ซึ่งได้มีการค้นพบจากนักวิจัยว่า  การรับรู้ข้อมูลโดยผ่านทางประสาทสัมผัสสองอย่าง  คือ ทั้งตาและหูพร้อมกันนั้น ทำให้เกิดการรับรู้ที่ดีกว่า รวมทั้งเกิดความสามารถ ในการจดจำได้มากกว่าการรับรู้โดยผ่านตาหรือหู  อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว  จึงได้มีการพัฒนาสื่อ    โสตทัศนศึกษารูปแบบต่าง ๆ   ขึ้นมาใช้งาน

หลักการขั้นพื้นฐานของการนำเสนอผลงานมีจุดเน้นสำคัญ  คือ

 1.1 การดึงดูดความสนใจ
  โดยการออกแบบให้สิ่งที่ปรากฏต่อสายตานั้น  ชวนมอง  และมีความสบายตาสบายใจเมื่อมอง ดังนั้นการเลือกองค์ประกอบต่าง ๆ  เช่น  สีพื้น  แบบสี  และ ขนาดของตัวอักษร  รูปประกอบ  ฯลฯ ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้
1.2 ความชัดเจนและความกระชับของเนื้อหา
   ส่วนที่เป็นข้อความต้องสั้นแต่ได้ใจความชัดเจน  ส่วนที่เป็นภาพประกอบ ต้องมีส่วนสัมผัสอย่างสร้างสรรค์กับข้อความ  ที่ต้องการสื่อความหมาย   การใช้ภาพประกอบมีประโยชน์มากดังคำพังเพยภาษาอังกฤษที่ว่า  “A picture  is  worth  a words”  หรือ  “ ภาพภาพหนึ่งที่มีค่าเทียบเท่าคำพูดหนึ่งพันคำ”   แต่ประโยคนี้คงไม่เป็นความจริงหากภาพนั้นไม่มีความสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับความหมายที่ต้องการสื่อ  ดังนั้น  ก่อนที่จะตัดสินใจใช้ภาพใดประกอบ  จึงควรตอบคำถามให้ได้เสียก่อนว่าต้องการใช้ภาพเพื่อสื่อความหมายอะไร  และภาพที่จะเลือกมานั้นสามารถทำหน้าที่สื่อความหมายเช่นนั้นจริงหรือไม่
1.3 ความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
  การสร้างจุดเน้นต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายด้วย  เช่น  กลุ่มหมายเป็นเด็กการใช้สีสด  และภาพการ์ตูนมีความเหมาะสม  แต่ถ้ากลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใหญ่  และเนื้อหาที่นำเสนอเป็นเรื่องวิชาการ หรือ ธุรกิจ การใช้สีสันมากเกินไปและการใช้รูปการ์ตูน  อาจจะทำให้ดูไม่น่าเชื่อถือเพราะขาดภาพลักษณ์ของการเอาจริงเอาจังไป
2. เครื่องมือที่ใช้ในการนำเนอผลงาน
   ก่อนยุคคอมพิวเตอร์  การนำเสนอผลงานในที่ประชุมสัมมนา  มักจะใช้เครื่องมือสองอย่างคือ เครื่องฉายสไลด์  (Slide projector)  และเครื่องฉายแผ่นใส  (Overheard projector)  การใช้งานเครื่องฉายสไลด์ค่อนข้างยุ่งยาก เพราะต้องใช้กล้องถ่ายรูปใส่ฟิล์มพิเศษ  ที่ล้างออกมาแล้วเป็นภาพสำหรับฉายโดยเฉพาะ และต้องนำฟิล์มนั้นมาตัดใส่กรอบพิเศษ  จึงจะนำมาเข้าเครื่องฉายได้ ข้อดีของการฉายสไลด์ คือ ได้ภาพที่สวยงามและชัดเจนแต่  ข้อเสีย  คือ ต้องฉายในห้องที่มืดมาก เครื่องฉายแผ่นใสเป็นเครื่องที่ใช้งานทั่วไปได้มากกว่า แผ่นใสที่ใช้ตามปกติมีขนาดประมาณ 8 นิ้วคูณ 10 นิ้ว มีสองแบบ คือ  แบบใช้ปากกา(พิเศษ)เขียน  กับ แบบที่ใช้เครื่องถ่ายเอกสาร แผ่นใสแบบใช้กับเครื่องถ่ายเอกสารใช้เขียนได้แต่แบบเขียนใช้กับเครื่องถ่ายเอกสารไม่ได้เพราะแผ่นใสจะละลายติดเครื่องถ่ายเอกสารทำให้เครื่องเสียเวลาซื้อแผ่นใสจึงต้องใช้ความระมัดระวังดูให้ดีว่าเป็นชนิดที่ตรงกับความต้องการหรือไม่  การฉายแผ่นใสสามารถทำได้ในห้องที่ไม่ต้องมืดมาก  
เมื่อมาถึงยุคคอมพิวเตอร์  เครื่องมือที่ใช้นำเสนอผลงานก็เปลี่ยนไป  เครื่องมือหลัก    คือ
เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องฉายภาพจากคอมพิวเตอร์ (Data projector) เครื่องฉายภาพคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ  มีขนาดใหญ่ต้องติดตั้งประจำที่  ข้างในมีหลอดภาพ  3 หลอด  ทำให้เกิดภาพแต่ละสีฉายผ่านเลนส์ออกมาปรากฏภาพบนหน้าจอ ความคมชัดยังไม่ดีนัก  และความสว่างของภาพก็ไม่มากพอ  ทำให้ต้องฉายในห้องที่ค่อนข้างมืด  เครื่องฉายรุ่นใหม่  ได้แก้ไขจุดอ่อนเหล่านี้ได้หมดแล้ว  โดยใช้แผ่นผลึกเหลว  (Liquid Crystal Display  หรือ  LCD)  เป็นตัวสร้างภาพ  ทำให้เครื่องมีขนาดเล็กลงมาจนสามารถพกพาได้  อีกทั้งความสว่างและความคมชัดก็ดีขึ้นมากจนสามารถฉายในห้องที่มีแสงสว่างปานกลางได้


ส่วนที่จะขาดเสียมิได้ในการนำเสนอผลงาน  คือ คำบรรยายหรือบทพากย์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบด้านโสตหรือเสียงนั่นเอง ข้อพิจารณา ในเรื่องนี้มี  ดังต่อไปนี้
1. การบรรยายสด เหมาะสำหรับประชุมหรือสัมมนาที่ต้องการให้ผู้ชมมีส่วนร่วมเพราะผู้บรรยายในกรณีนี้ เป็นผู้ที่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเนื้อหาเป็นอย่างดี รู้ว่าควรจะเน้นตรงจุดใดและปฏิกิริยาจากผู้ชมสามารถติดตามทำความเข้าใจได้เพียงพอหรือไม่รู้ว่าส่วนไหนจะต้องอธิบายขยายความมากน้อยเพียงใด
2.  การพากย์  เหมาะสำหรับเนื้อหาที่สามารถถ่ายทอดได้   โดยไม่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของผู้ชม ข้อดี  คือ  สามารถเลือกใช้เสียงพากย์ที่มีความไพเราะน่าฟังน่าฟัง สามารถเลือกใช้ดนตรี  หรือ  เสียงประกอบ (Sound  effect)  เพื่อสร้างบรรยากาศ  แต่ข้อเสีย คือ ไม่มีความยืดหยุ่น  ไม่สามารถปรับให้เหมาะสมกับความรู้สึกของผู้ชมในขณะนั้น  (เช่น  ดนตรี แบ็กราวด์ช้า ๆ  เย็นๆ  อาจเหมาะกับท้องเรื่อง   แต่บังเอิญต้องนำเสนอช่วงหลังอาหารกลางวัน   ซึ่งอาจทำให้ผู้ชม  รู้สึกง่วงนอน)
3. รูปแบบการนำเสนอผลงาน
ในหัวข้อนี้ จะกล่าวถึงรูปแบบการนำเสนอผลงานโดยใช้คอมพิวเตอร์  รูปแบบที่นิยมใช้กันในปัจจุบันมี  2 รูปแบบ   คือ
 1 การนำเสนอแบบ Slide Presentation
1.1 โดยใช้โปรแกรม Power Point
เป็นโปรแกรมนำเสนอผลผลงานในชุด  Microsoft  Office   เป็นโปรแกรมที่ใช้ง่ายมากมีแม่แบบ  (Template)  ให้เลือกใช้หลายแบบ  องค์ประกอบหลักของแต่ละหน้าของการนำเสนอคือ หัวข้อ  (Little)  กับส่วนเนื้อหาหลัก  (Body text)  เนื้อหาหลักมักจะถูกนำเสนอในแบบของ Bull Point คือ  การใช้เครื่องหมายพิเศษนำหน้าข้อความที่สั้นกระทัดรัด   แต่ได้ใจความมีการจัดลำดับความสำคัญของข้อความโดยการย่อหน้า





ภาพแสดง  โปรแกรมนำเสนอผลงาน  (power Point)
จัดลำดับความสำคัญของข้อความ โดยการย่อหน้า
1.2 โดยใช้โปรแกรม ProShow Gold
โปรแกรม Pros how Gold คือ โปรแกรมสำหรับเรียงลำดับภาพ เพื่อนำเสนอแบบ มัลติมีเดีย ที่มีความสามารถสร้างผลงานได้ในระดับมืออาชีพ ด้วยเทคนิคพิเศษมากมาย ใช้งานง่าย เหมาะสมต่อการนำเสนอสื่อ การเรียนการสอน การแนะนำอัตชีวประวัติ สามารถเขียนชิ้นงานออกมาในรูปแบบของวีซีดีได้อย่างรวดเร็ว เป็นโปรแกรมที่ช่วยสร้างแผ่นวีซีดี จากรูปภาพต่าง ๆ ที่ทำงานได้รวดเร็ว โดยสามารถทำการใส่เสียงเพลงประกอบได้ด้วย และสามารถแปลงไฟล์เป็นไฟล์ต่าง ๆ ได้ เช่น VCD , DVD หรือ EXE ฯลฯ ภาพที่ได้จัดอยู่ในคุณภาพดี ซึ่งโปรแกรมอื่นจะใช้เวลาในการทำงานนานพอสมควร
การเตรียมข้อมูลของภาพและเพลงต่าง ๆ ก่อนที่จะเริ่มติดตั้งและใช้งาน
1. Pros how Gold
เป็นซอฟต์แวร์สําหรับสร้างแผ่น VCD จากรูปภาพต่าง ๆ ที่ทํางานได้รวดเร็ว หลายคนคงจะมีไฟล์รูปภาพต่าง ๆ เก็บสะสมไว้และเมื่อต้องการที่จะนําเอาภาพเหล่านั้นมา แปลงให้อยู่ในรูปแบบของแผ่น VCD ที่สามารถนําเอาไปใช้เป็นกับเครื่องเล่น VCD ทั่วไปได้ ProShow Gold เป็นซอฟต์แวร์ที่สามารถนําเอาภาพมาทําเป็นแผ่น VCD โดยที่สามารถทําการแปลงได้อย่างรวดเร็วและยังใส่เสียงเพลงประกอบได้ด้วย
โดยทั่วไปแล้ว ซอฟต์แวร์สําหรับการทําแผ่น VCD จากรูปภาพจะมีหลายตัว แต่ที่แนะนํา ProShow เนื่องจากเหตุผลหลักคือการใช้เวลาทําการแปลงที่รวดเร็วมาก ปกติถ้าเป็นซอฟต์แวร์ตัวอื่นจะใน เวลาหลายชั่วโมง แต่ตัว ProShow นี้ใช้เวลาแปลง ไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จแล้วภาพที่ได้ก็จัดอยู่ใน คุณภาพดี โดยข้อเสียที่พบ ในตัวโปรแกรมนี้ คือ ค่อนข้างจะมีความยุ่งยาก ในขั้นตอนของการใช้งานบ้างแต่ก็ไม่มากมาย

 1.1 การเตรียมข้อมูลของภาพและเพลงต่างๆ  
  ก่อนที่จะเริ่มและใช้งานจะต้องมี  คือ ไฟล์รูปภาพต่าง ๆ  ซึ่งอาจจะเป็นไฟล์  .jpg  ก็ได้และไฟล์ของเพลงที่จะนํามา  ใส่ประกอบ  ซึ่งจะใช้เพลงแบบ  MP 3  ทั่วไปก็ได้  เมื่อเตรียมไฟล์ต่าง ๆ พร้อมแล้ว  ก็เริ่มต้นขั้นตอนการสร้างงานการใช้งาน โปรแกรม ProShow Gold มีขั้นตอนดังนี้
  1.  เริ่มที่ Main Menu เป็นตัวเมนูหลักสําหรับควบคุมและทํางานของโปรแกรม
  2.  การเข้าสู่โปรแกรมเราสามารถ   คลิกที่ Icon บน Desktop เพื่อเข้าใช้งานโปรแกรมได้
  3.  หน้าจอจะแสดงการเข้าสู่โปรแกรม
  4.  เมื่อเข้าสู่โปรแกรมครั้งแรกโปรแกรมจะให้ใส่ Activate Registration จากนั้นเราก็กดที่ปุ่ม Activate Registration

 ประโยชน์ของ Weblog

    จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง
1. เป็นสื่อที่ใช้ในการแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกของผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เพื่อเสนอให้ผู้คน สาธารณะได้รับรู้
2. เป็นเครื่องมือช่วยในด้านธุรกิจ เช่น การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การเสนอข่าวสารความเคลื่อนไหวขององค์กร การเสนอตัวอย่างสินค้า การขายสินค้า และ   การทำการตลาด ออนไลน์ เป็นต้น
3. เป็นแหล่งความรู้ใหม่ๆ ที่ถูกต้องและชัดเจน จากผู้มีความรู้เฉพาะด้านนั้นๆ เนื่องจากผู้เขียน Blog มักจะเขียนถึงเรื่องที่ตัวเองถนัดชอบและมีความรู้ลึกในเรื่องนั้นๆ การค้นหาข้อมูลเฉพาะด้านใน Blog ต่างๆ จึงทำให้เราค้นพบความรู้ และผู้มีความรู้ความชำนาญในด้านต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น
4.  ทำให้ทันต่อเหตุการณ์ในโลกปัจจุบัน เพราะข่าวสารความรู้ มาจากผู้คนมากมาย (ทั่วโลก) และมักจะเปลี่ยนแปลงได้ทันกับเหตุการณ์ปัจจุบันเสมอ
5. ไม่ต้องใช้ความรู้ทางคอมพิวเตอร์ชั้นสูงก็สามารถทำได้
6. ไม่ต้องขอพื้นที่บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเหมือนเว็บไซต์ทั่วไป
7. สามารถบรรจุภาพนิ่ง เสียง และภาพเคลื่อนไหวเหมือนเว็บไซต์ทั่วไปได้
8. สามารถใช้งานหรือปรับแต่งให้สวยงามได้ด้วยตนเอง นำมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนได้ดี
9. สำหรับ Weblog ของ Blogge r สามารถบรรจุบทความได้มากถึง 999 บทความ
10. สามารถสร้างสรรค์องค์ประกอบต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับการทำงานได้หลายอย่าง เช่น ตัวเลขนับผู้ชม (counter) กระดานข่าว (web board) สไลด์ (slides) คลิปวีดิทัศน์ (video clip) เป็นต้น
11. สามารถเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่น ๆ ได้ตามต้องการ
   ด้วยคุณสมบัติที่ดีดังกล่าว  ทำให้  weblog  ได้รับความนิยมไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว  โดยเฉพาะในวงการศึกษามีการนำมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนแบบผสมผสานได้เป็นอย่างดี weblog จะทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน  หรือผู้เรียนกับผู้เรียนได้ตลอดเวลา  ทุกสถานที่ที่มีอินเตอร์เน็ตใช้ ผู้เรียนสามารถค้นคว้าความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบทเรียนได้จากเว็บไซต์อื่นได้มากมายมหาศาล ทำให้ผู้เรียนเข้าถึงสาระของเนื้อหาที่สอนได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น   ดังนั้น  weblog จึงเป็นสื่อการสอนอีกชนิดหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้สอนอาจารย์จัดการเรียนการสอนได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น

 ขั้นตอนการสร้างเว็บบล็อก
   
   ในการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการทุกๆการอบรม มีการใช้เว็บบล็อกของบล็อกเกอร์ (Blogger)  ซึ่งเป็นบริษัท Google ประเทศสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นเว็บบล็อกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด การสร้างเว็บบล็อกท่านต้องมี e-mail เป็นของตนเองเสียก่อน จากนั้นจึงใช้ e-mail สมัครเข้าไปสร้างเว็บบล็อกได้ e-mail ที่ควรใช้กับบล็อกเกอร์ควรเป็น Gmail ของ Google เช่นเดียวกัน
    Gmail   เป็นช่องทางการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ช่องทางหนึ่ง  บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต   การสมัครใช้บัญชีของ  Gmail  มีประโยชน์ในการใช้บริการต่างๆ  มากมาย  โดยเฉพาะการใช้อ้างอิงในการสร้าง  weblog การรับ-ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ทั้งที่เป็น  รูปภาพและตัวอักษร  ข้อความ, การเชื่อมโยงกับเครือข่ายต่างๆ บนอินเตอร์เน็ต เป็นต้น หลังจากนั้น เข้าไปสู่ www.Blogger.com เพื่อลงทะเบียนในการใช้บล็อก  เพื่อเตรียมพร้อมการใช้งาน  โดยเว็บบล็อกมีส่วนประกอบ  ดังต่อไปนี้

 ส่วนประกอบของบล็อก
เว็บบล็อกของ Blogger มีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วนได้แก่
1. ส่วนหัวบล็อก
2. ส่วนบทควา      
3. ส่วนปรับแต่ง

3.2 การนำเสนอแบบ Web page

  เป็นรูปแบบที่การนำเสนอแบบเดียวกับที่ใช้บนอินเทอร์เน็ต ปัจจุบันนิยมใช้ในรูปแบบนี้มากขึ้นในการนำเสนอต่อที่ประชุม เว็บเบราเซอร์ (Web browser) เป็นโปรแกรมที่ใช้แสดงผล ส่วนโปรแกรมที่ใช้สร้างเวบเพจหรือแต่ละหน้านั้นมีวิธีทำได้หลายวิธีตั้งแต่วิธีดั้งเดิมที่สุดคือการเขียนด้วยภาษา HTML (Hypertext Markup Language) หรือใช้โปรแกรมประเภท Software tool เช่น FrontPage, Dreamweaver เป็นต้น ข้อดีของการนำเสนอแบบนี้คือสามารถสร้างความเชื่อมโยงที่สลับซับซ้อนระหว่างส่วนต่างๆของเอกสารที่นำเสนอ ตลอดจนสามารถสร้างการเชื่องโยงเอกสารต่างรูปแบบกัน เช่น สามารถคลิกคำว่า วิธีคำนวณ เพื่อเปิดตารางคำนวณ (Excel) ที่แสดงรายการคำนวณและเมื่อคลิกคำว่า คำอธิบาย จะไปเปิดเอกสาร Word เป็นต้น นอกจากนี้ หากคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการนำเสนอนั้นกำลังเชื่อมเข้าเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอยู่ก็สามารถเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ต่างๆบนอินเทอร์เน็ตได้ด้วย การนำเสนอแบบ web Page นี้ใช้เวลาในการจัดทำมากกว่า แต่ด้วยความสามารถมากกว่าและสามารถนำขึ้นเว็บไซต์ได้ทันที จึงทำให้การนำเสนอแบบนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
ข้อแนะนำในการสร้างเว็บเพจ
  ในการออกแบบสร้างเว็บเพจ มีองค์ประกอบอยู่หลายประการที่จะทำให้การสร้างเว็บเพจให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งมีข้อเสนอแนะ  ดังนี้
1. เลือกกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายเป็นคนในองค์กร หรือคนทั่วไป เป็นเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ เป็นกลุ่มคนที่ความรู้ระดับใด 
ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับเนื้อหาของเว็บเพจ
2. การเลือกเนื้อหาเว็บเพจและปริมาณของข้อมูล การเลือกเนื้อหาเป็นส่วนสำคัญในการเริ่มต้นสร้างเว็บเพจ ผู้เยี่ยมชมแต่ละกลุ่มจะค้นหาข้อมูลที่แตกต่างกัน เว็บเพจแต่ละหน้าจะสนองตอบต่อผู้ชมไม่หมือนกัน ดังนั้นการเลือกเนื้อหาที่ดี เนื้อหาที่น่าสนใจและใหม่เสมอทำให้ผู้เยี่ยมชมจะกลับมาเยี่ยมชมอีกครั้ง การใส่ข้อมูลที่ปริมาณมากเกินความจำเป็นจะทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัดและไม่ดึงดูดความสนใจ
3. การจัดเก็บแฟ้มข้อมูล โครงสร้างของเว็บมีความสำคัญในการจัดการดูแล การรักษาเว็บให้เป็นระเบียบการตรวจสอบความผิดพลาดของเว็บเพจจะทำได้ง่ายขึ้น เช่น การจัดแฟ้มรูปภาพและเว็บเพจที่เป็นเรื่องเดียวกันไว้ในไดเรกทอรีเดียวกัน
4. เว็บเพจต้องสามารถใช้ได้กับบราวเซอร์หลายชนิดการสร้างเว็บเพจควรจะทำเพื่อให้สามารถนำไปแสดงผลได้กับบราวเซอร์แต่ละชนิด และเทคนิคต่างๆ ที่ใช้ก็ควรจะถูกรองรับโดยบราวเซอร์เช่น เฟรม จาวา จาวาสคริปต์และพลักอินส์ เป็นต้น รวมทั้งการเลือกใช้แบบตัวอักษรภาษาไทย เนื่องจาก บางบราวเซอร์ไม่สามารถแสดงผลภาษาไทยที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจึงควรตรวจสอบการแสดงผลผ่านบราวเซอร์ก่อน
5. ความเร็วในการโหลดเว็บเพจ ความเร็วในการโหลดเว็บเพจเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เว็บเพจนั้นประสบความสำเร็จหรือไม่ ถ้าการโหลดเว็บเพจใช้เวลานานเกินไป หลายครั้งจะทำให้ผู้ชมหมดความอดทนแล้วเปลี่ยนไปหาข้อมูลที่อื่น ปัจจัยที่กระทบต่อความเร็ว ได้แก่  ขนาดของรูปภาพที่ใช้ จำนวนของรูปภาพที่ใช้ เทคนิคใหม่ๆ  เช่น  จาวา เอเอสพี  พีเอ็ชพี  และแฟลช เป็นต้น รวมถึงปริมาณของตัวอักษรที่อยู่บนหน้านั้นๆ ซึ่งมีผลให้การโหลดข้อมูลช้าหรือเร็ว ปริมาณข้อมูลในแต่ละเว็บเพจไม่ควรจะมากจนเกินไป ดังนั้นถ้ามีเนื้อหามากๆ ควรจะตัดแบ่งออกเป็นตอนๆ  เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลด  และยังเป็นการให้ผู้เข้าเยี่ยมชม  อ่านง่ายยิ่งขึ้นด้วย
6. ความง่ายในการค้นหาข้อมูลการวางตำแหน่งของข้อมูลหรือแถบนำทางทำให้ข้อมูลที่สำคัญๆ หาได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้เว็บเพจนั้นน่าใช้ การย้อนกลับไปหน้าก่อนและหลังแม้กระทั่งการย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของเพจ ก็เป็นสิ่งที่เว็บเพจทุกหน้าควรจะมีเพื่อทำให้การท่องเว็บสะดวกและคล่องตัว ในบางครั้งถ้าสามารถให้บริการช่วยค้นหา (search) ก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้การค้นหาข้อมูลทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
7. การเลือกใช้ตัวอักษร  ฉากหลัง และการเลือกโทนสีต้องให้เข้ากับเนื้อหาสาระของเว็บเพจนั้นถ้าเว็บนั้นกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับทะเลก็ควรใช้โทนสีฟ้า หรือฟ้าคราม สีขาว ไม่ควรใช้สีที่ฉูดฉาดและร้อนแรงแบบสีแดงเป็นสีพื้น ลักษณะของแบบตัวอักษร  ขนาดของตัวอักษรก็เช่นเดียวกันถ้าตัวอักษรใหญ่หรือเล็กเกินไป   จะทำให้องค์ประกอบรวมของเว็บนั้นเสียไป ถ้าต้องการกำหนดประเภทของตัวอักษร  ควรใช้ที่เป็นสากลนิยม เช่น กรณีภาษาอังกฤษ  อาจใช้ Arial หรือ Times ส่วนภาษาไทยอาจใช้ Angsana หรือ MS Sans Serif น่าจะถือเป็นสากลนิยมของภาษาไทย การเลือกใช้ตัวอักษรภาษาไทยนั้นต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะในกรณีที่เครื่องผู้เข้าเยี่ยมชมไม่มีตัวอักษรนั้นๆ อาจทำให้ผู้เข้าเยี่ยมชมไม่สามารถอ่านตัวอักษรได้เลย
8. ขนาดและชนิดของรูปภาพ ภาพกราฟิกนั้นมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบจะมีข้อดีข้อเสียต่างกัน อย่างไรก็ตามรูปภาพที่นิยมใช้กันในเว็บเพจมักมีส่วนขยายของไฟล์เป็น GIF และ JPEG เนื่องจากมีขนาดเล็ก ทำให้การโหลดเว็บทำได้เร็ว การพิจารณาเลือกใช้ภาพที่มีคุณภาพดี ถ้าเป็นภาพแต่งหรือภาพถ่ายที่มีสีมากๆ ควรใช้แฟ้มที่มีส่วนขยายเป็นJPEG แต่ถ้าเป็นแฟ้มภาพของปุ่มหรือป้ายที่มีสีจำนวนไม่มาก ก็ควรใช้แฟ้มที่มีส่วนขยายเป็นGIF
9. ส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้สำหรับเว็บเพจ สิ่งที่จะละเลยไม่ได้ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับผู้จัดทำ อีเมล์ วันเวลาที่ทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเว็บเพจ เพื่อที่ผู้ชมจะได้ติดต่อกับผู้จัดทำถ้ามีปัญหาใดๆ และทราบถึงวันเวลาที่เว็บเพจนี้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข และอาจมีหัวข้ออื่นๆ อีก เช่น      ข้อเสนอแนะ (Feedback) คำถามที่ถูกถามบ่อย (FAQ – Frequency Asked Questions) เว็บไซต์อื่นๆ ที่น่าสนใจที่ผู้เข้าเยี่ยมชมจะหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ซึ่งหัวข้อเหล่านี้จะช่วยลดเวลาในการค้นหาข้อมูลของผู้เข้าเยี่ยมชมได้
10. ตรวจสอบเว็บเพจก่อนนำเสนอ เพื่อความถูกต้องและความสวยงามของเว็บเพจ ก่อนที่จะนำเสนอควรตรวจสอบกับ เว็บบราวเซอร์ทั้ง เนสเคปคอมมูนิเคเตอร์และอินเทอร์เน็ตเอ๊กพลอเรอร์ ก่อน การออกแบบเว็บเพจอาจจะเหมาะสมกับความละเอียดภาพหนึ่งๆ
ข้อควรระวังในการเขียนเว็บเพจ ซึ่งพอจะสรุปได้  ดังนี้
1. ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้เฟรม เฟรมเป็นรูปแบบของเว็บเพจที่แบ่งหน้าจอออกเป็นหน้าต่างย่อยๆ ซึ่งอิสระต่อกันทำให้ใช้งานได้ง่าย แต่ในบางกรณีการใช้เฟรมสร้างความสับสนให้กับผู้ใช้ได้ เช่น เมื่อเลือกหัวข้อย่อยข้อหนึ่งแล้วชื่อของ URL ในช่อง address ไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่า ทำให้ผู้ใช้ไม่ทราบจุดอ้างอิงของตัวเองว่าตอนนี้อยู่ในเว็บเพจใด และจะกลับไปที่จุดเริ่มต้นได้อย่างไร
2. การใช้เทคนิคมากเกินไป ไม่ควรใช้เทคนิคมากเกินความจำเป็น เช่น แฟลช จาวา หรือการใส่เสียงเบื้องหลังตลอดเวลา แม้ว่าเทคนิคเหล่านี้จะทำให้เว็บเพจดูสวยงาม และตื่นตาตื่นใจ แต่อาจจะทำให้โหลดช้า และน่าเบื่อในที่สุด
3. ป้ายที่แสดงว่าอยู่ระหว่างการดำเนินการ ไม่ควรนำสัญลักษณ์รูป (Icon) หรือป้ายที่แสดงว่าอยู่ระหว่างการดำเนินการขึ้นมาเพราะการใช้วิธีการแบบนี้มักจะเกิดจากความไม่มั่นใจของผู้ออกแบบว่าเว็บเพจที่สร้างพร้อมที่จะออกแสดงหรือยัง ซึ่งในกรณีที่ยังไม่พร้อมก็ไม่ต้องนำขึ้นแสดง
4. การใช้ภาพกราฟิกขนาดใหญ่หรือปริมาณมากภาพกราฟิกที่มีขนาดใหญ่จะทำให้การโหลดช้า ผู้ออกแบบจะต้องละเว้นการใช้กราฟิกขนาดใหญ่หรือปริมาณมาก เพื่อที่จะเลี่ยงปัญหาคนออกจากเว็บไซต์เพราะรู้สึกเบื่อหน่าย การเลือกภาพกราฟิก ควรจะเลือกเฉพาะกราฟิกที่เพิ่มคุณค่าให้กับเนื้อเรื่อง
5. การใช้ตัวอักษรหลายรูปแบบ
6. การใช้ฉากหลังที่ซับซ้อนการใช้ฉากหลังที่ซับซ้อนทำให้การอ่านบทความไม่ชัด และในขณะเดียวกันผู้ออกแบบต้องระลึกไว้เสมอว่า ให้ใช้สีที่ตัดกันกับฉากหลังของบทความ หากบทความมีสีอ่อนให้ใช้ฉากหลังสีเข้ม ตรงกันข้ามกันถ้าบทความสีเข้มให้ใช้ฉากหลังสีอ่อน
7. การใช้ภาพเคลื่อนไหวมากเกินไป การใช้ภาพเคลื่อนไหวทำให้เว็บเพจมีชีวิตชีวา แต่อย่างไรก็ตามการใส่ภาพที่เคลื่อนไหวมากเกินไป จะมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อทัศนวิสัย และดึงความสนใจของผู้ชมไปจากองค์ประกอบอื่นๆ ที่มีความสำคัญ
8. การเชื่อมโยงกลับไปยังหน้าหลักเว็บเพจ แต่ละหน้าควรจะบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นของเว็บไซต์ใด เพราะผู้ใช้บางรายอาจจะเข้าไปยังหน้ารองๆของเว็บไซด์โดยบังเอิญโดยที่ไม่ผ่านโฮมเพจหลักและถ้าผู้ใช้ต้องการกลับไปที่หน้าแรกของโฮมเพจที่เข้ามาก็สามารถกลับไปดูได้โดยมีลิงก์ไปยังโฮมเพจหลักได้
9. ไม่มีการจัดโครงสร้างเว็บเพจ เว็บเพจแต่ละหน้าควรจัดวางให้มีรูปแบบคล้ายกันเพื่อสะดวกต่อการค้นหาเมื่อมีการเปิดเว็บหน้าถัดไปเนื่องจากมีรูปแบบเดียวกัน ถ้าแต่ละหน้ามีการวางโครงสร้างไว้ต่างกันมากจะทำให้เสียเวลาในการค้นหาข้อมูล
10. เนื้อหาที่ไม่แตกต่างไปจากเว็บไซต์อื่นๆผู้เริ่มหัดเขียนโฮมเพจส่วนใหญ่จะเริ่มจาก “นี่คือ
โฮมเพจของฉัน” และพยายามใส่ข้อมูล รวมทั้งสร้างแหล่งเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งมักจะไปซ้ำกับเว็บไซต์อื่นๆ ดังนั้นก่อนจะเริ่มเขียนควรมีโครงร่างของเว็บที่เราจะนำเสนอที่มีความแตกต่างจากเว็บไซต์อื่นๆ ซึ่งจะเป็นจุดดึงดูดความสนใจมากกว่า
11. การแสดงความเห็นมากเกินไป ผู้เริ่มหัดเขียนเว็บเพจบางคนมีเนื้อหาที่จะเสนอมากจนเกินไป โดยใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากนำเสนอลงในเว็บเพจทั้งหมด จึงไม่มีอะไรเป็นจุดเด่น บางเว็บเพจใส่ข้อมูลส่วนตัวลงไปด้วย ถึงแม้ว่าดูน่าสนใจ แต่ก็ไม่ควรมาอยู่บนเว็บเพจ ยกเว้นต้องการนำเสนอตัวเองให้คนอื่นรู้จักการออกแบบที่ดีควรรวบรวมเรื่องต่างๆให้เข้าเป็นหมวดหมู่หรือสร้างหน้ารายการเลือกที่รวมแหล่งเชื่อมโยงซึ่งจะนำผู้อ่านไปสู่หน้าที่แยกกันตามหัวข้อจะดีกว่า
12. การไม่แสดงแหล่งที่มาถึงแม้ว่าข้อมูลที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตจะเป็นข้อมูลที่เผยแพร่ให้กับทุกๆคน การนำข้อมูลของผู้อื่นมาลงในเว็บไซต์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอกโดยตรงหรือทำการวิเคราะห์แล้ว ก็ควรให้เกียรติกับเจ้าของข้อมูลด้วยโดยการบอกถึงแหล่งที่มาของข้อมูล และชื่อเจ้าของข้อมูลนั้น
13. การเชื่อมโยงข้อมูลและข้อมูลที่ไม่เป็นปัจจุบัน หลายครั้งที่ข้อมูลเป็นข้อมูลเก่า อันเนื่องจากผู้ออกแบบเว็บไม่มีเวลาในการเปลี่ยนข้อมูล จึงควรจะระบุวันที่ เวลา ที่มีการแก้ไขข้อมูลทุกครั้ง เพื่อที่จะรักษาความเป็นปัจจุบัน
14. การประกาศความรู้สึกที่เป็นลบผู้ออกแบบเว็บมือใหม่บางคนใช้คำเริ่มต้นที่แสดงถึงความไม่มั่นใจในตัวเองหรืออาจใช้คำที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองด้อย เพื่อที่จะแก้ความขวยเขินที่ได้นำเว็บเพจนี้ขึ้นบนอินเทอร์เน็ตเพราะเพิ่งเริ่มหัดเขียนโฮมเพจ ตัวอย่างเช่น ในเว็บเพจภาษาอังกฤษหน้าหนึ่งเริ่มต้นด้วย “This is my stupid page.” เมื่อเริ่มต้นอย่างนี้แล้วก็คงไม่มีใครอยากดูเพราะจะรู้สึกว่าไม่ฉลาดที่ไปดู
15. ปัญหาการเชื่อมโยงการใช้ข้อความ ในการเชื่อมโยงควรสื่อความหมายให้เข้าใจได้ชัดเจน การเชื่อมโยงของเนื้อความควรจะมีการเรียบเรียงเนื้อหาให้ต่อเนื่องกันไปถึงบทความที่เหลือ และบทความควรจะแยกเป็นเอกสารสิ่งพิมพ์ได้ ผู้ออกแบบมักจะใช้ข้อความยาวๆทำแหล่งเชื่อมโยง หรือใช้คำ “คลิก (Click) ที่นี่” ในการเชื่อมโยง ซึ่งควรแทนด้วยการทำไฮไลต์ที่คำสำคัญ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกันภายในบทความได้
3.3 Word Press คืออะไร
   Word press คือโปรแกรมชนิดหนึ่ง ที่มีระบบในการช่วยจัดการเนื้อหาบนเว็บ ได้อย่างง่าย หรือที่หลายๆ คนใช้คำว่า Contents Management System (CMS) ซึ่งจริงๆ แล้ว โปรแกรมประเภท CMS มีมากมาย อย่างเช่น PHP Nuke, Joomla, Mambo, OScommerce, Magento เป็นต้น
Wordpress เป็น CMS ประเภท Blog ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยภาษา PHP และทำงานบนฐานข้อมูล MySQL ภายในสัญญาอนุญาตใช้งานแบบ General Public License (GNU) มีเวปไซต์หลักอยู่ที่ http://www.wordpress.org และมี free hosting สำหรับขอรับบริการฟรีที่http://www.wordpress.com
    Wordpress เป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่าย สำหรับคนที่ต้องการมีบล็อกส่วนตัว เป็นที่โปรแกรมที่นิยมกันทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย นอกจากการติดตั้งง่ายแล้ว Word press ยังมีข้อดีก็คือ สามารถหาดาวน์โหลดธีม (Themes) หรือหน้าตาของเว็บ รูปแบบต่างๆ ที่เหมาะกับความต้องการ รวมทั้งปลั๊กอิน (Plugins) เสริมอื่นๆ
4. สรุปสาระสำคัญ
    การนำเสนองานมีวัตถุประสงค์  คือ  เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจสาระสำคัญของการนำเสนอ  และให้ผู้ชมเกิดความประทับใจ  ซึ่งจะนำไปสู่ความเชื่อถือในผลงานที่นำเสนอ  การใช้สื่อ  โสตทัศนศึกษาช่วยให้เกิดการรับรู้ช่วยให้เกิดการรับรู้ที่ดีขึ้น  รวมทั้งช่วยให้จดจำเนื้อหาได้มากขึ้น  ทั้งนี้ หลักการขั้นพื้นฐานของการนำเสนอผลงานมีจุดเน้นสำคัญ  คือ  การดึงดูดความสนใจ  ความชัดเจนและเสียงประกอบที่เหมาะสมด้วย
    เครื่องมือที่ใช้ในการนำเสนอผลงานนั้น  แต่เดิมมักใช้เครื่องฉายสไลด์และเครื่องฉายแผ่นใสเป็นหลัก  แต่ในปัจจุบันนี้นิยมใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องฉายภาพแอลซีดี  รูปแบบการนำเสนอที่ยังนิยมใช้กันมากคือ  การนำเสนอแบบ Slide Presentation โดยใช้โปรแกรม PowerPoint แต่มีแนวโน้มว่าการนำเสนอแบบ Web Page อาจเข้ามาแทนที่




อ้างอิงสุวนันท์ ปวงสุข








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น